การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซีย ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ค.) ปรากฎว่า พรรคแนวร่วมรัฐบาลสามารถคว้าชัยชนะไว้ได้อีกครั้ง ทำให้ได้ครองอำนาจต่อไปอีกเป็นปีที่ 56 ติดต่อกัน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ว่า ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซีย ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ค.) ปรากฏว่า หลังปิดหีบลงคะแนนผ่านไปประมาณ 9 ชั่วโมง และนับบัตรได้กว่า 2 ใน 3 ของทั้งหมด พรรคร่วมรัฐบาลในนาม “แนวร่วมแห่งชาติ” นำโดยพรรคอัมโนของ นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค คว้าชัยชนะได้สำเร็จ เมื่อได้ ส.ส. เข้าสู่รัฐสภาแล้วอย่างน้อย 127 ที่นั่ง ครองเสียงข้างมากจากทั้งหมดในรัฐสภา 222 ที่นั่ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเอกเทศ ขณะที่แนวร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ ส.ส. แล้ว 77 ที่นั่ง
นับเป็นชัยชนะการเลือกตั้งทั่วไป 13 ครั้งติดต่อกัน ของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งผูกขาดครองอำนาจเป็นรัฐบาลมาตลอด ตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2500และเป็นชัยชนะที่ค่อนข้างผิดความคาดหมายก่อนหน้านี้ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่สุดจากฝ่ายค้าน
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติมาเลเซีย เผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนราว 13 ล้านคน ตัวเลขผู้ที่ออกไปใช้สิทธิสูงถึง 80 % หรือกว่า10 ล้านคน โดยการลงคะแนนมีขึ้นในหน่วยเลือกตั้งกว่า 8,000 หน่วยทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 08.00 น. – 17.00 น.พรรคร่วมรัฐบาลมาเลเซียคว้าชัยเลือกตั้งทั่วไปเป็นปีที่ 56 ติดต่อกัน แต่ฝ่ายค้านประกาศไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ว่า แม้พรรคร่วมรัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค จะเป็นฝ่ายชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. คงอำนาจต่อเนื่องเป็นปีที่ 56 แต่นายอันวาร์ อิบราฮิม หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกาศยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาล “แนวร่วมแห่งชาติ” 13 พรรค ที่นำโดยพรรคองค์การสหมาเลย์แห่งชาติ ( อัมโน ) ของนาจิบ สามารถคว้าที่นั่งในรัฐสภาได้ถึง 133 ที่นั่ง จาก 222 ที่นั่ง ขณะที่พรรคแนวร่วม “ปากาตัน รัคยัต” หรือพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค นำโดยพรรคความยุติธรรมปวงชน ( พีเคอาร์ ) ของอันวาร์ ได้ไป 89 ที่นั่ง โดยมีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนมากถึง 10 ล้านคน จากทั้งหมด 13 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 80 ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ทว่านาจิบถือเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนแรกในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี2500 ที่ได้รับคะแนนนิยมประชาชนน้อยกว่าผู้สมัครจากพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน คือ 5.22 ต่อ 5.48 ล้านคะแนน อย่างไรก็ตาม ผู้นำมาเลเซียวัย 59 ปี ประกาศชัยชนะและขอให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ที่เป็นการตัดสินใจโดยบริสุทธิ์ของประชาชน เพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ในอนาคต
ขณะที่อันวาร์ วัย 65 ปี ปฏิเสธยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมกับประณามการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าเต็มไปด้วยการทุจริต ดังนั้น ผลคะแนนที่ออกมาจึงไม่มีความโปร่งใส่พอ แม้ปากาตัน รัคยัต จะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 5 ปีก่อนถึง 14 ที่นั่งก็ตาม แต่ก็ต้องสูญเสียที่นั่ง 1 ใน 4 รัฐที่เคยแย่งชิงมาจากฝ่ายรัฐบาล กลับคืนไปให้นาจิบในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ มาเลเซียแบ่งการปกครองออกเป็น 13 รัฐ
ด้านนายเจมส์ ชิน ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ในสิงคโปร์ แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการเลือกตั้งของมาเลเซียครั้งนี้ว่า เป็นการต่อสู้กันอย่างสูสีที่สุด เนื่องจากนอกเหนือจากแรงกดดันภายนอกแล้ว ทั้งนาจิบและอันวาร์ต่างต้องเผชิญแรงเสียดทานภายในพรรคไม่แพ้กัน โดยนาจิบต้องการแย่งชิงที่นั่งที่เสียไปเมื่อปี 2551 กลับคืนมาให้ได้มากที่สุด เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากสมาชิกพรรค ซึ่งแม้จะทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยพรรครัฐบาลก็ยังคงครองเสียงข้างมาก
อันวาร์จึงดูเหมือนเป็นฝ่ายตกที่นั่งลำบากมากกว่า และอาจถึงขั้นต้องอำลาเส้นทางการเมือง หลังประกาศชัดก่อนหน้านี้ว่า จะลาออกจากการเป็นหัวหน้าของปากาตัน รัคยัต หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง
มาเลเซียเปิดหย่อนบัตรเลือกตั้งทั่วไปแล้วเมื่อเช้าวันอาทิตย์นี้ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เมื่อฝ่ายค้านชูนโยบายปฏิรูป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ว่า นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ได้ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพราะการหาเสียงอย่างดุเดือดในประเทศที่ประกอบด้วยหลายเชื้อชาติและข้อกล่าวหาฉ้อโกง รวมถึงความรุนแรง
หน่วยเลือกตั้งต่างๆทั่วประเทศ ได้เปิดให้ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00 น.เช้าวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับ 07.00น.วันเดียวกันตามเวลาในประเทศไทย และ ปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน ตรงกับ 16.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย จากนั้นก็จะเริ่มนับผลคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็คงจะทราบผลการเลือกตั้ง
ประชาชนชาวมาเลเซียรอคอยผลการเลือกตั้งครั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2551 เป็นต้นมา เพราะพรรคฝ่ายค้านสามารถผนึกกำลังต่อสู้กับพรรคพันธมิตรฝ่ายรัฐบาล ซึ่งกุมอำนาจรัฐมาโดยตลอด นับตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชเมื่อปี2500 เป็นต้นมา
พรรคพันธมิตรฝ่ายรัฐบาล นำโดยพรรคองค์การสหมาเลย์แห่งชาติ หรือ อัมโน ซึ่งมีนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ จะต้องสู้กับพันธมิตรฝ่ายค้าน สัญญาประชาชน นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยอยู่กับพรรคอัมโนมาก่อน ก่อนที่จะโดนมรสุมการเมืองกระหน่ำ จนต้องมาอยู่ฝ่ายค้าน แต่นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผลออกมาสูสีกันมาก จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ